เทคโนโลยีสารสนเทศ

Title of the document เทคโนโลยีสารสนเทศ

วันอังคารที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2563

10 เทคโนโลยี พลิกโลกปี 2019


10 เทคโนโลยี พลิกโลกปี 2019 - บรรดาผู้เชี่ยวชาญหลายฝ่ายมองตรงกันว่า ปี 2019 จะเป็นศักราชแห่งชีวิตยุคดิจิตอลที่จะก้าวไปอีกขั้น

เทคโนโลยีเหล่านี้จะรุดหน้าและได้รับการเติมเต็มขีดความสามารถจนถึงขั้นที่ทำให้มนุษย์นั้นได้รับความสะดวกสบายมากถึงขั้นที่อาจน่าเป็นห่วง

การเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่ฉับไว และความเป็นส่วนตัวที่น้อยลง รวมไปถึงอันตรายจากโลกไซเบอร์ที่บรรดาผู้ใช้ทุกคนจำเป็นต้องตระหนักและรู้เท่าทัน
เว็บไซต์ อินฟอร์เมชั่น-เมเนจเมนต์ ของสหรัฐอเมริกา และเว็บไซต์การ์ตเนอร์รวบรวม 10 เทคโนโลยีพลิกโลกที่น่า จับตามองที่สุดมาให้ผู้อ่านได้ทราบกัน ดังนี้

1.อินเตอร์เน็ตในทุกสิ่ง IOT

       อินเตอร์เน็ตจะเป็นเครือข่ายข้อมูลกลางที่แทรกซึมไปในทุกสรรพสิ่งที่ มนุษย์ใช้ในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่เพียงแต่สมาร์ตโฟน แท็บเล็ต และคอมพิวเตอร์ แต่จะรวมไปถึงเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ในบ้าน อาทิ ตู้เย็น ไมโครเวฟ โทรทัศน์ ยวดยานพาหนะ หรือแม้แต่ไฟส่องสว่างในบ้าน


10 เทคโนโลยี พลิกโลกปี 2019
เทคโนโลยีเหล่านี้จะได้รับการพัฒนาขีดความสามารถและแพร่หลายมากขึ้นตามครัวเรือนทั่วไป นำไปสู่การแบ่งปันข้อมูลกันระหว่างสิ่งของอัจฉริยะเหล่านี้ ทำให้ชีวิตของมนุษย์นั้น รายล้อมไปด้วยข้อมูลที่จะถูกตรวจจับและจัดเก็บมากขึ้น อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
คาดว่า ไอโอทีจะส่งผลให้มีสิ่งของอัจฉริยะเชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ตทะลุ 75,000 ล้านชิ้น ภายในเวลาไม่เกิน 3 ปี

2.บล็อกเชน

ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีจะนำมาซึ่งความเสี่ยงทางโลกไซเบอร์แบบใหม่ ทำให้ระบบการจัดเก็บข้อมูลและการรักษาความปลอดภัยต้องยกระดับไปด้วย หนึ่งในนั้นเป็นเทคโนโลยีบล็อกเชน ที่มีการกระจายสำเนาข้อมูลไปยังผู้ใช้ ทุกคนแบบเรียลไทม์ ทำให้นักเจาะระบบเจาะข้อมูลได้ยากขึ้น โดยเทคโนโลยีนี้ถูกนำมาใช้แล้วในระบบธุรกรรมบางส่วน และสกุลเงินออนไลน์ชื่อดังต่างๆ
10 เทคโนโลยี พลิกโลกปี 2019
ในปีนี้ บล็อกเชนจะมีธนาคารและองค์กรต่างๆ นำไปประยุกต์ใช้อย่างแพร่หลายกว่าปีที่ถัดมา

3.ปัญญาประดิษฐ์ AI




ระบบปัญญาประดิษฐ์ หรือเอไอ ที่บรรดายักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมไอทีต่างแข่งขันกันพัฒนานั้นจะเริ่มมีขีดความสามารถเหนือมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นดีพ มายด์ และกูเกิล แอสซิสแทนต์ ของค่ายกูเกิล อเล็กซา ของอะเมซอน สิริ ของแอปเปิ้ล คอร์ทาน่า ของไมโครซอฟท์ และอีกหลากหลายค่าย ซึ่งพัฒนาตัวเองได้จากการเรียนรู้พฤติกรรมของมนุษย์ผู้ใช้งาน เนื่องจากข้อมูลที่มากขึ้น ประสิทธิภาพของคอมพิวเตอร์ที่สูงขึ้น ส่งผลให้เอไอเหล่านี้ทำงานได้ไวและแม่นยำมากขึ้นไปอีก
10 เทคโนโลยี พลิกโลกปี 2019

ส่งผลให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์พัฒนาแอพพลิเคชั่นที่มีความซับซ้อนได้ง่ายขึ้นอีก นำไปสู่การเปิดประสบการณ์การใช้งานที่ซับซ้อนของผู้ใช้ได้ในปีนี้


4.เทคโนโลยีการสื่อสาร 5 จี


ประสิทธิภาพของเทคโนโลยีข้างต้นทำให้ต้องใช้แพล็ตฟอร์มเครือข่ายการสื่อสารที่มีขีดความสามารถสูงขึ้น ปีนี้จะเป็นการมาถึงของเครือข่ายการสื่อสารและผลิตภัณฑ์อุปกรณ์สื่อสารที่สนับสนุน 5 จี ซึ่งจะทำให้การส่งและรับข้อมูลไร้สายมีความเร็วสูง และสร้างเสถียรภาพให้กับไอโอที มีความเร็ว สูงกว่า 4 จี ร้อยละ 15-50 มีเอกชนยักษ์ใหญ่เป็นผู้ผลักดัน
10 เทคโนโลยี พลิกโลกปี 2019
อาทิ ซัมซุงจากเกาหลีใต้ หัวเว่ยจากจีน อีริกส์สันจากสหรัฐอเมริกา และชาร์ปจากญี่ปุ่น (เรียงตามลำดับปริมาณสิทธิบัตรทางเทคโนโลยี 5 จี)
5.
อักเมนต์-เวอร์ชวล เรียลลิตี้




ปฏิสัมพันธ์แบบใหม่ระหว่างมนุษย์กับเทคโนโลยีจะแพร่หลายมากขึ้น 
โดยเฉพาะระบบอักเมนต์
เรียลลิตี้ หรือเออาร์ ซึ่งเป็นการสร้างภาพกราฟิกแทรกเข้ามาในสภาพแวดล้อมจริง และเวอร์ชวล เรียลลิตี้ หรือ วีอาร์ ซึ่งเป็นการจำลองสภาพแวดล้อมใหม่ทับของเดิม ทั้งสองเทคโนโลยีนี้จะมีความสมจริงมากขึ้น และทำงานได้รวดเร็ว ผลิตภัณฑ์ตัวอย่าง ได้แก่ แว่นตาไมโครซอฟท์ โฮโลเลนส์ ที่เป็นระบบเออาร์ นอกจากนี้ เออาร์ยังนำไปใช้ในที่อื่นๆ ได้อีก อาทิ กระจกรถยนต์ หน้าต่างอาคาร

10 เทคโนโลยี พลิกโลกปี 2019

ขณะที่วีอาร์นั้นเน้นไปทางด้านเพื่อความบันเทิง ไม่ว่าจะเป็น แว่นซัมซุงเกียร์ วีอาร์ แว่นพีเอส วีอาร์ ของเครื่องเพลย์ สเตชั่น เอชทีซี ไวฟ์ และออคูลัส ริฟต์

6.หุ่นโดรนและจักรกลสงคราม

โดรนบังคับและอัตโนมัติจะมีราคาถูกลง และแพร่หลายมากขึ้น รวมทั้งมีความสามารถมากขึ้นทั้งในภาคครัวเรือนและภาคอุตสาหกรรมไปจนถึงระดับรัฐบาลและกองทัพ สะท้อนจากการเร่งพัฒนาหุ่นยนต์ของบรรดาชาติมหาอำนาจในโลก จะก่อให้เกิดธุรกิจแบบใหม่ โดยเฉพาะในด้านการขนส่ง รวมถึงอาชญากรรมรูปแบบใหม่ นำไปสู่การจัดระเบียบสังคมในหลายประเทศ
10 เทคโนโลยี พลิกโลกปี 2019

ขณะที่การพัฒนาจักรกลเพื่อการทำสงครามจะเป็นประเด็นปัญหาที่ได้รับการถกเถียงอย่างหนักในเวทีสหประชาชาติ

หลังจีนจัดตั้งโครงการผลิตนักศึกษาที่จะเติบโตไปเป็นนักวิทยาศาสตร์รุ่นแรกเพื่อพัฒนาหุ่นรบและเอไอสงครามครั้งแรกของโลก ส่วนสหรัฐนั้นมีโครงการวิจัยและพัฒนาแล้ว แต่ยังไม่มีการสร้างบุคลากรรุ่นใหม่ทางด้านวิทยาศาสตร์

7.การพิมพ์สามมิติ

การพิมพ์แบบ 3 มิติ หรือ ทรีดี พรินติ้ง จะมีผู้ใช้งานอย่างแพร่หลายมากขึ้นทางในระดับอุตสาหกรรมและภาคครัวเรือน ไม่ว่าจะเป็นข้าวของเครื่องใช้ ไปจนถึงส่วนประกอบเครื่อง จักรกลและอาหาร เพื่อแก้ไขปัญหาต้นทุนการผลิต ซึ่งถือ เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่จะส่งผลต่ออัตราการเจริญเติบโต ของเอกชน และของประเทศทั่วโลก
10 เทคโนโลยี พลิกโลกปี 2019

เพราะนอกจากมีคุณภาพ สะดวกรวดเร็ว ยังประหยัดวัตถุดิบ ทำให้ประหยัดต้นทุน และง่ายต่อการผสมดัดแปลงผลลัพธ์ เนื่องจากใช้ระบบคอมพิวเตอร์ในการจัดการ

8.ไบโอเมตทริกซ์

ข้อมูลอัตลักษณ์บุคคลจะถูกจัดเก็บมากขึ้นเพื่อใช้ในการยืนยันสิทธิการเข้าถึงการใช้งาน หรือข้อมูลต่างๆ รวมถึงบริการทั่วไปในภาคครัวเรือน ในจำนวนนี้ รวมถึงข้อมูลเสียงซึ่ง ถูกจัดเก็บโดยเอไอของกูเกิ้ล โดยจากผลการศึกษาพบว่า ผู้ใช้สมาร์ตโฟนในสหรัฐกว่าครึ่งชื่นชอบการใช้เสียงสั่งการ

10 เทคโนโลยี พลิกโลกปี 2019

และการใช้งานผ่านอัตลักษณ์บุคคลในด้านการรักษาความปลอดภัยข้อมูลไม่ว่าจะเป็นลายนิ้มือม่านตา ใบหน้า และเสียง การแพร่หลายของเทคโนโลยีดังกล่าวจะทำให้มนุษย์ยุคใหม่ ที่เกิดมานั้นต้องพึ่งพาเทคโนโลยีเหล่านี้ด้วย

เริ่มตั้งแต่การจัดเก็บข้อมูลสูติบัตรที่รัฐจะเริ่มเข้ามามีส่วนจัดระเบียบในบางประเทศ

9.ระบบทำงานแบบอัตโนมัติ

เทคโนโลยีที่จะรุดหน้าไปอย่างรวดเร็วในปีนี้ จะส่งผล ให้มีระบบคอมพิวเตอร์เข้ามาทำงานอัตโนมัติแทนมนุษย์มากขึ้น อาทิ เครื่องจักรกลในโรงงาน หุ่นยนต์ และเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อ
10 เทคโนโลยี พลิกโลกปี 2019
หลากหลายสาขาอาชีพ โดยเฉพาะอาชีพแรงงานที่ต้องทำงานซ้ำๆ แบบรูทีน เนื่องจากการเข้ามาแทนที่มนุษย์ของเครื่องจักรกลอัจฉริยะเหล่านี้ เพราะการใช้เครื่องจักรกลแทนมนุษย์นั้นง่ายกับนายจ้างมากกว่า โดยผลการศึกษาในสหรัฐอเมริกาพบว่า อาจส่งผลกระทบต่ออัตราการจ้างงานสูงถึงร้อยละ 50
เทรนด์นี้จะมีแนวโน้มแบบเดียวกันทุกแห่งทั่วโลก

10.ควอนตัมคอมพิวเตอร์

การสิ้นสุดกฎของมัวร์ นำมาซึ่งอวสานของ รูปแบบการพัฒนาฮาร์ดแวร์ประมวลผลในคอมพิวเตอร์ กำหนดว่าปริมาณของทรานซิสเตอร์บนวงจรรวมจะเพิ่มเป็นเท่าตัวประมาณทุกๆ สองปี ทว่า สถาปัตยกรรมการผลิตที่ล่าสุดถึงระดับ 7 นาโนเมตรแล้วนั้นทำให้บรรดาผู้พัฒนาเข้าใกล้จุดที่อนุภาคอิเล็กตรอนมีพฤติกรรมที่ไม่เป็นไปตามศาสตร์ของฟิสิกส์ปกติ เนื่องจากที่ระดับดังกล่าวเป็นระดับ “ควอนตัม” ซึ่งบรรดานักวิทยาศาสตร์ต่างกำลังเร่งพัฒนาและเรียนรู้ศาสตร์ในระดับดังกล่าว
10 เทคโนโลยี พลิกโลกปี 2019
ในปีนี้ คอมพิวเตอร์ควอนตัมจะเข้าใกล้รูปแบบที่จะมาปฏิวัติระบบคอมพิวเตอร์ได้ ซึ่งจะทำให้คอมพิวเตอร์มีประสิทธิภาพการทำงานเพิ่มแบบก้าวกระโดด
ยกตัวอย่าง การทดสอบคอมพิวเตอร์ควอนตัม ดี เวฟ 2 ของกูเกิ้ลและองค์การบริหารการบินและอวกาศสหรัฐ หรือ นาซ่า พบว่ามีประสิทธิภาพสูงกว่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่ ทันสมัยที่สุดปัจจุบันถึง 3,600 เท่า และคอมพิวเตอร์ทั่วไปประมาณ 100 ล้านเท่า
.
.
.








รู้จักกับ Disruptive Technology เทคโนโลยีสร้างความพลิกผัน




ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ Disruptive Technology

จะเห็นว่าปัจจุบัน กระบวนการที่เทคโนโลยีใหม่ “disrupt” หรือ “ทำลาย” เทคโนโลยีเดิม ไม่ใช่สิ่งใหม่ แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่อดีต และจะเกิดขึ้นอีกต่อไปในอนาคต บางคนเรียกกระบวนการนี้ว่า creative destruction หรือการทำลายอย่างสร้างสรรค์ ที่ทำให้โลกมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีในปัจจุบัน มาถึงจุดที่ทำให้รูปแบบการดำเนินชีวิต การประกอบธุรกิจ การทำการเกษตร และ เศรษฐกิจโลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว และรุนแรง เพราะ เทคโนโลยีใหม่ๆที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอินเทอร์เน็ตไร้สาย ยานพาหนะไร้คนขับ (Autonomous vehicles) และเทคโนโลยีพันธุกรรมขั้นสูง (advanced genomics) ต่างมีศักยภาพในการเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินชีวิตและการทำงาน  

ยกตัวอย่างสิ่งที่ถูก Disrupt หรือถูกทำลายอย่างสร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยีใหม่ที่เห็นได้ชัดเจน คือ CD และ DVD เพลงหรือหนัง ที่กำลังถูก Disrupt ด้วยช่องเพลง ช่องหนัง ที่โหลดฟังได้ง่าย ๆ ในมือถืออย่าง Apple Music, Joox , YouTube และ Netflix เป็นต้น

Disruptive technologies คือ นวัตกรรม หรือเทคโนโลยีที่สร้างตลาด และ มูลค่าให้กับตัวผลิตภัณฑ์ที่ใช้เทคโนโลยี และส่งผลกระทบอย่างรุนแรง ต่อตลาดของผลิตภัณฑ์เดิม รวมทั้งอาจจะทำให้ธุรกิจที่ใช้เทคโนโลยีแบบเดิม ๆ ล้มหายตายจากไป ซึ่งต่างจากนวัตกรรมทั่วไปที่อาจจะเพียงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ เพิ่มคุณภาพของสินค้า หรือลดต้นทุนกระบวนการผลิตแบบเดิม ๆ
โดยในรายงานของ McKinsey Global Institute ได้ระบุเทคโนโลยี 12 ประเภท ที่จะเข้ามามีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงโลก ได้แก่
  1. อินเทอร์เน็ตไร้สาย (Mobile Internet)
  2. เทคโนโลยีอัตโนมัติในด้านการวิเคราะห์ (Automation)
  3. อินเตอร์เน็ตในทุกสิ่ง (Internet of Things)
  4. การประมวลผล (Cloud Computing)
  5. เทคโนโลยีหุ่นยนต์ (Robotics)
  6. ยานพาหนะไร้คนขับหรือกึ่งไร้คนขับ (Vehicles)
  7. เทคโนโลยีชีวภาพ (genomics)
  8. อุปกรณ์หรือระบบกักเก็บพลังงาน (Storage)
  9. เทคโนโลยีการพิมพ์สามมิติ (3D Printing)
  10. เทคโนโลยีวัสดุชาญฉลาด (Materials)
  11. เทคโนโลยีสำรวจและขุดเจาะน้ำมัน (Oil and Gas)
  12. เทคโนโลยีพลังงานทดแทน (Renewable)
การใช้เทคโนโลยีทั้ง 12 ประเภทดังกล่าว จะสามารถทำให้เกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจ และเกิดการประยุกต์ใช้ในทุกอุตสาหกรรม เช่น การควบคุมเครื่องจักรและเครื่องยนต์ที่ชาญฉลาด (machine intelligence), เครือข่ายเว็ปเคลื่อนที่ (ubiquitous web), โมบายบรอดแบนด์ (Mobile Broadband) และยานพาหนะไร้คนขับ (unmanned vehicles) ไปจนถึงซอฟต์แวร์ที่สามารถแปลภาษาได้ทุกภาษา โดยเทคโนโลยีที่เหล่านี้จะทำให้มนุษย์เข้าถึงการศึกษา และข้อมูลต่าง ๆ ตลอดจนเชื่อว่า จะทำให้เกิดการสร้างงานอย่างมหาศาล และในทางกลับกันก็จะทำลายตำแหน่งงานรูปแบบเดิมด้วย
อย่างที่เราทราบกันว่าเทคโนโลยีต่าง ๆ ไม่มีวันหยุดนิ่ง เกิดการพัฒนา มีความก้าวหน้าตลอดเวลา การที่จะเกิดเป็น Disruptive Technology กับเราหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับว่า ผู้ถูกกระทบปรับตัวได้ดีเพียงไร สิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เราพัฒนาไปพร้อมกับความก้าวหน้าเหล่านี้ได้ คือการมีทัศนคติที่เป็นบวกว่า โอกาสหรือการพัฒนาเหล่านี้ ไม่ใช่สิ่งที่จะมาทำลาย และให้ทำตัวพร้อม เพื่อนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาปรับใช้งานให้เหมาะสม.
.
.
.

7 เทคโนโลยี จากวันวานสู่วันนี้


ทุกวันนี้เทคโนโลยีต่างๆ ล้วนพัฒนาไปเร็วมากจนบางคนอาจตามกันไม่ทันเสียด้วยซ้ำ และสำหรับท่านที่มีอายุมากกว่า 20 ปี ก็คงจะได้เห็นการพัฒนาและความเปลี่ยนของเทคโนโลยีต่างๆ ในช่วง 10-20 ปีที่ผ่านมา ซึ่งถือว่าเป็นช่วงที่เทคโนโลยี
พัฒนาไปได้เร็วมากที่สุด วันนี้จึงขอชวนทุกคนมาระลึกความหลังกับ 7 เทคโนโลยีจากวันวานสู่วันนี้ ว่าจะเปลี่ยนแปลงไปมากแค่ไหนกันนะ ส่วนใครที่เกิดไม่ทันก็จะได้รู้ไปพร้อมๆ กันเลย

โทรศัพท์มือถือ

ยังจำมือถือไซส์กระติกน้ำกันได้ไหม หลังจากนั้นผู้ผลิตก็เริ่มพัฒนาให้ขนาดมันเล็กลงจนพกพาได้สะดวกมากขึ้นและเล็กลงเรื่อยๆ รวมทั้งพัฒนาจอขาว-ดำให้เป็นหน้าจอสี แต่เมื่อเริ่มเข้าสู่ยุคสมาร์ทโฟนก็เริ่มพัฒนาให้หน้าจอใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แถมยังใช้แอปพลิเคชันและเล่นเน็ตได้อีกต่างหาก จนถึงขนาดที่ปัจจุบันสามารถทำธุรกรรมบนมือถือได้แล้ว

โทรทัศน์

จากจอแก้วขาวดำที่ถูกพัฒนาให้เป็นโทรทัศน์สี ตามด้วยจอแบน จนกระทั่งจอ LCD/LED ในปัจจุบัน พร้อมทั้งพัฒนาให้มีขนาด
หน้าจอและความละเอียดที่มากขึ้นเรื่อยๆ มีทั้งจอ 3D และใช้อินเทอร์เน็ตได้ หรือแม้กระทั่งแอปพลิเคชันก็ยังใช้ได้ จนปัจจุบันยังสามารถเชื่อมต่อกับทั้งโทรศัพท์มือถือหรือคอมพิวเตอร์ได้ ทำให้สะดวกสบายมากขึ้นอีก

สื่อบันทึกข้อมูลด้านบันเทิง

สมัยก่อนสื่อบันทึกข้อมูล เช่น ภาพยนตร์หรือเพลงจะบันทึกลงในม้วนเทป แต่เมื่อเข้าสู่ยุคดิจิตอลก็ถูก เปลี่ยนเป็นแผ่น Optical Disc (CD/DVD/Blu-ray) และล่าสุดก็มีการดูหนังฟังเพลงแบบออนไลน์กันแล้ว จริงๆ แล้วเคยมีแผ่น MD ของโซนี่ด้วยนะ แต่หลายคนอาจจะลืมกันไปแล้ว ซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่ได้สร้างผลกระทบกับธุรกิจหลายธุรกิจที่มีความเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีนี้เป็นอย่างมาก อาทิ ร้านเช่าวีดีโอ หรือร้านขายแผ่นซีดีเพลง นั่นเอง

ที่เก็บข้อมูลคอมพิวเตอร์

ฮาร์ดดิสก์ในยุคแรกๆ มีขนาดที่ใหญ่มโหฬารและราคาที่แพงมาก แต่มีความจุอันน้อยนิด รวมทั้งแผ่น Floppy Disk สุดคลาสสิกที่เคยใช้กันอย่างแพร่หลายนั้นมีความจุเพียงแค่ 1.44MB เท่านั้น ลองเทียบกับยุคนี้ที่ความจุนับสิบ-ร้อย GB มีขนาดเล็กแค่ปลายนิ้วมือดูสิ แถมปัจจุบันยังพัฒนาจนมีระบบ Cloud ที่เก็บไฟล์ได้มหาศาลและสามารถเข้าถึงข้อมูลได้จากทุกสถานที่เพียงแต่มีอินเทอร์เน็ตอีกด้วย

เครื่องเล่นเกม

สมัยเด็กๆ ใครที่ชอบเล่นเกมน่าจะได้สัมผัสเกมยุคที่ยังใช้ตลับกันอย่างแน่นอน แถมจอยเกมก็มีปุ่มให้กดเพียงไม่กี่ปุ่มเท่านั้น แต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป จากที่เป็นตลับก็เปลี่ยนมาใช้แผ่น Optical Disc จอยก็เริ่มมีก้านอนาล็อกเริ่มมีปุ่มให้ได้บังคับกันมากขึ้นพร้อมกับกราฟฟิกที่ถูกพัฒนาให้สวยงามสมจริงมากยิ่งขึ้น จนปัจจุบันมีเทคโนโลยี VR เข้ามาประกอบทำให้การเล่นเกมส์สมจริงราวกับว่าเราได้เข้าไปอยู่ในโลกของเกมส์จริงๆ

อินเทอร์เน็ต

มันน่าหงุดหงิดเนอะที่เวลาจะเล่นเน็ตแล้วต้องมารอ Connect บางทีก็ต่อไม่ค่อยติด ช้าก็ช้า กับความเร็วแค่ 56k โทรศัพท์ดังเน็ตก็ชอบหลุด แต่สมัยนี้เค้าปาเข้าไปเป็น 10-100Mbps กันแล้ว สายโทรศัพท์ก็กลายเป็นสายไฟเบอร์ใยแก้วนำแสง โหลดอะไรก็เร็วไปหมด อีกอย่างคือค่าบริการอินเทอร์เน็ตในปัจจุบันก็ถูกกว่าเมื่อก่อนอีกด้วย โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับความเร็วในการเชื่อมต่อข้อมูลแล้ว
กล้องถ่ายรูปจากยุคกล้องอนาล็อก
ใช้ฟิล์มในการเก็บภาพ ฟิล์มม้วนนึงถ่ายได้แค่ 30 กว่ารูป ถ่ายเสร็จต้องไปให้ร้านถ่ายรูปอัดรูปให้ รูปออกมาไม่สวยก็ทำใจกันไป เพราะตอนถ่ายมันดูตัวอย่างไม่ได้ แต่ปัญหาก็หมดไปเมื่อเข้าสู่ยุคกล้องดิจิทัล ไม้ต้องง้อฟิล์มอีกต่อไป เก็บรูปลงเมมโมรี่ ถ่ายแล้วไม่ถูกใจก็ลบทิ้งถ่ายใหม่ได้เรื่อยๆ และล่าสุดกล้องถ่ายรูปก็สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ถ่ายรูปแล้วแชร์บนโซเชียลเน็ตเวิร์คได้ทันทีด้วย
เห็นได้ว่าเทคโนโลยีมีต่างๆ การพัฒนาไปอย่างก้าวกระโดดเป็นอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งแต่ละชนิดที่ยกตัวอย่างมานั้นก็เป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเรา และพบเห็นกันอยู่ทุกวัน ดังนั้นเราคงต้องจับตาดูกันต่อไปว่า ก้าวต่อไปในการพัฒนาของเทคโนโลยีเหล่านี้จะเป็นอย่างไร
.
.
.